สศช.เปิดเผยผลสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยในปี 65 ที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวนคนจนรวมกันถึง 3.8 ล้านคน โดยลดลงจากปีก่อนหน้าที่มีจำนวนคนจน 4.4 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีไม่กี่จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด 5 จังหวัดได้แก่ แม่ฮ่องสอน, ปัตตานี, ตาก, นราธิวาส, และกาฬสินธุ์
นางวรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทย ว่า สถานการณ์ความยากจนในปี 65 ภาพรวมปรับตัวดีขึ้นหลังผ่านการระบาดของโควิด-19 โดยล่าสุดมีจำนวนคนจนรวม 3.8 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนคนจน 5.43% ลดลงจากปีก่อนที่มีจำนวนคนจน 4.4 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนคนจน 6.32% ขณะที่เส้นความยากจนของคนไทย ก็ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนเช่นกัน โดยปรับเพิ่มขึ้นจาก 2,803 บาทต่อคนต่อเดือน ในปี 64 เป็น 2,997 บาทต่อคนต่อเดือนในปี 65 โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด 5 จังหวัดในปี 65 ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปัตตานี ตาก นราธิวาส และ กาฬสินธุ์ โดยที่น่าห่วงคือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด และติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดต่อเนื่องกัน 19 ปี ตั้งแต่ปี 45 สะท้อนให้เห็นปัญหาความยากจนเรื้อรังที่เกิดขึ้น และต้องเร่งหาทางแก้ไขในเชิงนโยบายส่วนสถานการณ์ด้านความเหลื่อมล้ำ สศช.มีตัวเลขสถานการณ์ด้านความเหลื่อมล้ำด้านรายจ่าย พบว่า ในภาพรวมปรับตัวดีขึ้น โดยตัวชี้วัดสำคัญนั่นคือ ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคหรือสัมประสิทธิ์จีนี ด้านรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ในปี 65 ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.343 จากระดับ 0.350 ในปีก่อน โดยตัวชี้วัดหลายด้านค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นทั้งด้านโอกาสทางการศึกษา หลักประกันสุขภาพ และการเข้าถึงสวัสดิการต่าง ๆ
#คนจน #สศช. #ความยากจน #ความเหลื่อมล้ำ #สังคมไทย